วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส ขนมแฟชั่นส่งตรงจากฝรั่งเศษ สาขาแรกในไทย


Pierre Hermé Paris (ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส) แบรนด์ขนมแฟชั่นระดับไฮเอนด์ของฝรั่งเศส ที่ตราตรึงใจนักชิมขนมทั่วโลก นอกจากรสชาติความหอมหวานละมุนลิ้นที่ยากหาจะชิมได้ที่ไหน การสร้างสรรค์ไอเดียออกมาเป็นความสวยงามของขนมทุกชิ้นทำให้ มิสเตอร์ ปิแอร์ แอร์เม่ ถูกยกย่องให้เป็น ที่สุดของเชฟขนมหวานระดับโลก และยังได้รับการตั้งฉายาว่า เป็น “ปิกัสโซ่แห่งวงการขนมหวาน” ด้วยพรสวรรค์ด้านเชฟขนมที่หาตัวจับยากและมีเพียงไม่กี่คนในโลก นอกจากนี้ ปิแอร์ แอร์เม่ ยังเป็นแบรนด์ขนมอันดับ 1 ของฝรั่งเศส ที่ ติดอันดับ ท็อปแบรนด์แฟชั่น ของฝรั่งเศส เทียบคู่กับแฟชั่นแบรนด์ดังระดับโลก อาทิ Chanel, Dior, Loewe และในวันนี้ ได้มาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยแล้วที่ ชั้น G ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ 


คอนเซปต์พิเศษของร้านคือ ตกแต่งและออกแบบคงคอนเซ็ปต์ เดียวกับสาขาที่ปารีส มีความหรูหรา และความเป็นป็อบผนวกเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงความสดใหม่ของแบรนด์นี้ ออกแบบโดย ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น มิสเตอร์ มาซามิชิ กาตายาม่า (Mr.Masamichi Katayama)ที่ออกแบบร้านขนม ปิแอร์ แอร์เม่ มาแล้วทั่วโลกโดยมีแรงบันดาลใจมาจากมาการองที่มีหลากสีสัน จึงใช้กระเบื้องหลากสีตกแต่งเต็มพื้นที่ ให้ส่อง ประกายระยิบระยับ ขณะที่ผนังอีกด้านทำเป็นผนังช็อกโกแลตริบส์ ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากช็อกโกแลตเค้กที่สร้างสรรค์โดย มิสเตอร์ ปิแอร์ แอร์เม่ คุณลักษณะใหม่ที่เพิ่มเข้ามาให้กับบูติคที่กรุงเทพโดยเฉพาะ ซึ่งสาขาอื่นทั่วโลกยังไม่มี ขณะที่ตรงบริเวณกลางร้านมีการจัดวางเคาน์เตอร์ดิสเพลย์ขนม เพื่อรอต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมชมร้านจากทางเข้าทั้ง 2 ทาง เพดานร้านสูงโปร่ง ให้ความรู้สึกโล่งสบาย


 ลิ้มลองรสหอมหวานของขนมหวานระดับโลกสัญชาติฝรั่งเศส “ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส" ได้แล้ววันนี้ ที่ ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส แฟล็กชิพ บูติค ชั้น G ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.089-365-8888 หรือ 02-003-6444, 

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Fifty-Five Centara Grand @ Central World


ห้องอาหารฟิฟตี้ไฟว์ ณ ชั้นที่สูงที่สุดของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ สถานที่ซึ่งรวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดในโลก แวดล้อมด้วยบรรยากาศอันแสนสบาย เติมเต็มด้วยมุมมองแบบพาโนรามิค 360 องศาทั่วกรุงเทพมหานคร สะท้อนความสง่างามระดับเวิลด์คลาส

ณ ห้องอาหารฟิฟตี้ไฟว์ พ่อครัวชาวฝรั่งเศส, พ่อครัวชาวออสเตรียน, พ่อครัวชาวแคนาดา และพ่อครัวชาวสแกนดิเนียเวียน เสาะหาวัตถุดิบเกรดเอจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ได้ทุกท่านได้เลือกอิ่มอร่อย อาทิ เนื้อวัวจากสหรัฐอเมริกา, เนื้อวากิวจากญี่ปุ่น, สุดยอดฟัวกราส์, เมนูสัตว์ปีก, ซีฟู้ดสั่งตรงจากท้องทะเล และผักนานาชนิด คุณภาพสดใหม่ตรงตามมาตรฐานของห้องอาหารฟิฟตี้ไฟว์ โดยเชฟแต่ละท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการประกอบอาหาร ผนวกกับความตั้งใจในการรังสรรค์ผลงานให้กับผู้ที่สนใจลิ้มลองรสชาติ ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด ช่วยให้มื้อพิเศษของท่านมีรสชาติแห่งความอร่อยที่สมบูรณ์แบบ


นอกจากนั้นยังมีมุมไวน์เซลล่าเรียงรายด้วยไวน์ที่ขึ้นชื่อมากกว่า 200 แบรนด์จากทั่วทุกมุมโลก ที่จะมาเติมเต็มรสชาติให้กับอาหารจานพิเศษของท่าน การตกแต่งของสถานที่เน้นความเรียบง่ายตามธาตุหลักทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ อันเป็นคอนเซปต์ในการตกแต่งภายในของโรงแรมฯ ประกอบด้วยที่นั่ง 122 ที่นั่ง รอบล้อมด้วยทัศนียภาพของใจกลางกรุงเทพฯอันทันสมัยตื่นตาตื่นใจ เปรียบเสมือนเป็นการให้รางวัลแก่ชีวิต กับประสบการณ์การรับประทานอาหารรสเลิศในบรรยากาศที่ยากจะลืมเลือน


Service Hour : 11:30 – 14:30 hrs. / 18:30 – 23:30 hrs.
Address : 55 Fl. Centara Grand Centralworld
Tel : +66 (0) 2 101 1234, Press 11

TWZ เปิดช็อปใหม่สาขา มาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ



นายกิตติพงศ์ กิตติภัสสร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ ผู้จำหน่ายและให้บริการต่างๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ร่วมแสดงความยินดีกับนางสาวบังอร นิลเจริญ ตัวแทนจำหน่าย TWZ Shop ในโอกาสเปิดช็อปใหม่ ณ ศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ โดยเปิดให้บริการเลือกซื้อสินค้าที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บแล็ต และอุปกรณ์เสริมต่างๆแบบครบวงจร ซึ่งนับเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันของ TWZ ช็อปที่เปิดให้บริการไปแล้วทั้งสิ้น 15สาขาและมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.twz.co.th

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

TWZ เปิดตัว A559 สมาร์ทโฟนใหม่ล่าสุด บางเฉียบ เรียบหรู



บมจ.ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น หรือ TWZ เปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ล่าสุดรุ่น A559 บางเฉียบ เรียบหรู สุดสมาร์ท ด้วยจุดเด่นเรื่องดีไซน์ที่สวยงาม หรูหรา หน้าจอใหญ่ 5.5 นิ้ว แบบ IPS QHD ที่ให้สีอิ่มสวยเป็นธรรมชาติ โทรได้ด้วยระบบ ซิม รองรับเครือข่าย 3G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android และฟังก์ชั่นอื่นๆ มากมายภายในตัวเครื่อง มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี สีขาวทองสีขาวและสีดำ ด้วยราคาสบายกระเป๋า 2,990 บาท สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แล้วที่ร้าน TWZ Shop และร้าน Telewiz ที่ร่วมรายการ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.twz.co.th

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

เก็มมาฝากจากต่างแดน


ผู้คนในแวดวงแฟชั่นและเครื่องประดับจากทั่วทุกมุมโลกที่หลั่งไหลไปร่วมงาน Basel world 2015 งานแสดงสินค้านาฬิกาและอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีที่สวิสเซอร์แลนด์
งานนี้ ผู้บริหารสาว-สองเจเนอเรชั่นของ “สยามสวิสส กรุ๊ป” ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกา “โรเล็กซ์” ในประเทศไทย
ทั้ง “คุณอิ๊ด
-สุภาพร, คุณกิ๊ฟ-สุดารัตน์ และคุณพลอย-พิชญา พูลสถิติวัฒน์” ย่อมไม่ยอมพลาดเกาะติดอัพเดทเทรนด์นาฬิกาหลากแบรนด์ ที่ต่างอวดโฉมคอลเลคชั่นใหม่อย่างน่าตื่นตา ซึ่งส่วนใหญ่เน้นการพัฒนากลไกก้าวล้ำสมัย เพื่อสร้างนิยามใหม่ที่แตกต่าง ผ่านรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ชวนจดจำ แต่ยังคงความหรูหราร่วมสมัย
ผู้บริหารสยามสวิสส กรุ๊ป จึงต้องฝากกระซิบด้วยว่า แฟนพันธุ์แท้นาฬิกาแบรนด์ชั้นนำอย่าง “โรเล็กซ์” สามารถติดตามคอลเลคชั่นใหม่ และสั่งจองก่อนใครได้แล้ววันนี้ที่ “สยามสวิสส” ทุกแห่ง ส่วนที่ต้อง “เกาะติดหนึบ” กันตลอดทั้งทริป ไม่ใช่แค่ขอ “เกาะติด...นิว คอลเลคชั่น” แต่ยังต้อง “เกาะหนึบ” กันเอง เพราะจะได้ช่วยๆ กันรั้งไม่ให้ช็อปกันจนเพลินเกินห้ามใจ


วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รีวิวร้านอาหารสุดหรู ในราคาที่จับต้องได้ Tonino Lamborghini Café Lounge Flagship Venue


หากใครกำลังมองหาร้านอาหารสำหรับทานมื้อเย็นสไตล์อิตาเลี่ยน หรือนั่งดริงค์ในบรรยากาศสุดชิลล์ การตกแต่งหรูหรา แถมอาหารและเครื่องดื่มสุดแสนอร่อยในราคาที่คบได้ วันนี้เลยถือโอกาสมาแนะนำร้านใหม่ประเดิมต้นปีนี้กันเลย นั่นคือร้าน Tonino Lamborghini Café Lounge Flagship Venue  ครับ ได้ยินชื่อแล้วหลายคนคงคิดถึงรถยี่ห้อราคาแพงโลโก้กระทิงดุขึ้นมาในหัวทันที ถูกต้องแล้วครับ นับเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Lamborghini  Café Lounge Flagship Venue มาเปิดในบ้านเราแล้วครับ




ที่จริงแล้วผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่า แบรนด์รถหรูได้มาเปิดร้านอาหาร นั่งดื่มสุดชิลล์ใจกลางสุขุมวิท บังเอิญผมได้ไปเล่นเกมส์กับคลื่นวิทยุอินเตอร์ Met 107 และเป็นผู้โชคดีได้รับบัตร Voucher มูลค่า 2500 บาท ก็เลยได้รู้จักกับที่นี่ครับเลยมาใช้บริการในช่วงวันหยุดที่ผ่านมานี่เอง และเมื่อสอบถามพนักงานถึงร้านว่าเปิดมานานเท่าไรแล้ว ก็ได้คำตอบครับว่าที่นี่เพิ่งเปิด Grand Opening ไปเมื่อวันที่ 5.. 2558 นี่เอง สดๆร้อนๆเลยทีเดียว


การเดินทางมายังร้านก็ง่ายนิดเดียวครับจากปากซอยสุขุมวิท 63 เข้ามา 100 เมตร ร้านจะอยู่ด้านขวามือ ติดกับทรูคอฟฟี่ มีลานจอดรถบนอาคารไว้บริการ     ถ้าหากมาด้วยรถไฟฟ้า BTS ก็ให้มาลงสถานีเอกมัย เข้าซอยสุขุมวิท 63 เข้ามา 100 เมตรร้านจะอยู่ด้านขวามือติดกับทรูคอฟฟี่ แนบแผนที่มาให้ด้วยครับ


เมื่อมาถึงร้านจากหน้าทางเข้าจะมีเค้าเตอร์พนักงานต้อนรับจัดตกแต่งเป็นบาร์สไตล์โรงแรม และจะมีพนักงานพาเราไปยังโต๊ะที่นั่ง ที่นี่จะแบ่งเป็น 2โซน คือ In Door แบ่งเป็นเค้าเตอร์บาร์ด้านหน้าทางเข้าและด้านในสุดตรงบูทดีเจ กับ Out Door ด้านนอกร้านแบบโปร่งโล่งสบาย ซึ่งผมก็ได้เลือกนั่งตรงด้านนอกครับเพราะผมชอบแบบโล่งๆ 


มาถึงปุ๊บก็ไม่รอช้าเริ่มสั่งอาหารและเครื่องดื่มกันเลย อาหารของที่นี่เป็นแบบอิตาเลี่ยนฟิวชั่นที่เน้นความเรียบง่ายแต่แฝงความพิถีพิถัน เน้นคุณภาพที่คัดสรรมาอย่างดี ซึ่งเชฟของที่นี่ก็ไม่ธรรมดาการันตีฝีมือจากกอร์ดองเบลอนะจ๊ะ สำหรับเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่ผมได้สั่งมานั้นเรามาชมตามภาพกันเลยครับ  นั่งปุ๊บพนักงานก็เอา Snack มาเสิร์ฟบริการเพื่อเป็นการรองท้องกันก่อนครับ


อาหารจานแรกของผมคือ Caesar Salad สูตรเชฟอิตาลี  จุดเด่นของซีซาร์สลัดอยู่ที่ผักกาด Romaine และ พาร์มีซานชีส ใส่ปลาแองโชวี่ น้ำสลัดข้นใสที่เน้นรสเค็มปลายๆ และได้กลิ่นของน้ำมันมะกอกรสชาติลงตัวครับ


จานต่อมา พิซซ่า Kuni-ola เป็นพิซซ่ารสเลิศสไตล์อิตาเลี่ยน  แป้งพิซซ่าของที่นี่จะบางกรอบ ไม่เหนียว ประดับหน้าแบบจัดเต็มด้วยซาลามี่พริกและตกแต่งด้วย พริกหยวก นอกจากพิซซ่าแล้วที่นี่ยังมีเมนูอาหารอิตาเลี่ยนที่มากันเป็นจานใหญ่ๆ แบบจัดเต็มใครอยากชิมพิซซ่าในบรรยากาศครอบครัวมาที่นี่ไม่ผิดหวังครับรสชาติเยี่ยมมาก รับรองหมดถาดครับ


สำหรับอาหารจานที่ 3 มีชื่อว่า Duck Confit เป็นอาหารฟิวชั่นที่นำมาดัดแปลงตกแต่งสไตล์ไทยนิดๆ ด้วยเนื้อเป็ดที่ทางร้านจะนำไปอบและย่างตามสูตรของเชฟ ทานคู่กับเห็ดผัดซอสซีอิ๋ว มายองเนส พริกไทย ที่เข้ากันอย่างลงตัว ตกแต่งสีสันด้วยดอกอัญชันสีม่วงสด


มาถึงเครื่องดื่มครับเริ่มกันที่ virgin mojito จะไม่มีแอลกอฮอล์ รสชาติเปรี้ยวนิดหวานหน่อยให้ความรู้สึกสดชื่นของใบสะระแหน่ลงตัวที่เดียวครับสมองผ่อนคลายอารมณ์ 55555  แก้วต่อมาจะเป็น Margarita เครื่องดื่มสุดคลาสสิค เอกลักษณ์ของค็อกเทลตัวนี้ของทางร้าน มีรสชาติเปรี้ยว หวานและเค็ม ผสมผสานกันจนออกมาเป็นรสที่กลมกล่อม กลิ่นละมุนเตะจมูกมากครับ


ถัดมาจะเป็นเบียร์ครับซึ่งเบียร์ที่นี่มีให้เลือก 3 ยี่ห้อเป็นเบียร์อิตาลีทั้ง 3 ตัว ผมจำชื่อไม่ได้ทั้งหมดแต่ตัวที่เลือกมานี่มีชื่อว่า Peroni ครับ เบียร์อันดับต้นๆ ของอิตาลี เนื้อเบียร์สีทองจาง รสชาตินุ่มละมุน ให้กลิ่นหอม ติดจมูก ของขนมปังอบใหม่ ผสมผสานกับความหวานและน้ำตาลคาราเมลอ่อนๆ บอดี้แน่นเหมาะสำหรับคอเบียร์ทั้งหลายครับ


มาตบท้ายกันด้วยเมนูของหวานที่เป็น signature ของร้านครับ CRK Nitro Molecular  คือ ดริ๊งค์ที่ผสานศาสตร์แห่งวิทย์เข้ากับศิลป์แห่งการปรุงเครื่องดื่ม  ซึ่งใช้ไนโตรเจนเหลวในสภาพที่เย็นจัด มีอุณหภูมิลบ 190 องศาเพื่อให้เกิดโสตสัมผัสใหม่ โดยเฉพาะการเสิร์ฟ ตื่นตาตื่นใจ เสมือนเป็นนักวิทยาศาตร์ 55555 ได้เห็นทั้งควันฟุ้ง ฟองฟู่ ชวนสนุก มาทำกันตรงหน้าเลยครับ ผมไม่มั่นใจว่าส่วนผสมที่เชฟใส่ลงไปทำให้แข็งตัวมีอะไรบ้าง จากของเหลวเป็นของแข็งในพริบตา เหมือนไอศครีม มีกลิ่นไซรัปและเหล้าปลายๆ กลิ่นหอมเตะปลายลิ้น โรยด้วยช็อคโกแลต ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่และสตอเบอรี่เพื่อความสวยงาม รสชาติละมุนลงตัวเลยที่เดียว


 

หากใครที่กำลังมองหาร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ ที่ Hang out ใหม่ๆ  เช็คอินเก๋ๆ ที่นี่คงจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่ชอบสังสรรค์ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ  ที่ได้มาใช้บริการพนักงานทุกคนบริการดีแนะนำและให้ข้อมูลอาหารได้อย่างน่าสนใจยิ้มแย้มพร้อมบริการ รสชาติอาหารถือว่าดีครับ บรรยากาศสบายลงตัว มีเปิดแผ่นจากดีเจสาวสวยสลับกับวงดนตรี ส่วนค่าอาหารผมก็ถือว่าไม่ต่างจากร้านอาหาร อื่นๆ ในย่านนั่นเลยและบนโรงแรม Rooftop ต่างๆใจกลางเมือง ทั้งเครื่องดื่มและอาหาร 

เครื่องดื่มเริ่มต้นที่ 190 บาท อาหารเริ่มต้นที่ 200 บาท หากไปก่อน 2 ทุ่มจะมีโปรโมชั่นเบียร์ครับ อย่าเพิ่งตัดสินจากชื่อร้านและแบรนด์โลโก้ที่ดูหรูหรานะครับ ราคาจริงๆแล้วไม่ได้แพงอย่างที่คิด ถือว่าคบได้ในราคาที่พอใจครับ ^^ 

คราวหน้าผมจะมารีวิว กาแฟและเบเกอรี่ในรูปแบบของ Lamborghini ให้ชมกันครับ













วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

เจดับบลิวที ครบรอบ 150 ปี ฉลองความสำเร็จพร้อมกันทั่วโลก เติบโตและขับเคลื่อนองค์กรอย่างแข็งแกร่งสู่การเป็นเบอร์หนึ่ง

เจดับบลิวที (JWT) บริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสารการตลาดชั้นนำระดับโลกในเครือดับบลิวพีพี กรุ๊ป ร่วมเฉลิมฉลองพร้อมกันอย่างยิ่งใหญ่ในโอกาสครบรอบ 150 ปี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ประกาศขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมมุ่งสู่การเป็นเบอร์หนึ่งที่ปรึกษาด้านสื่อสารการตลาด ยุคดิจิตัล และในโอกาสนี้ เจดับบลิวที (กรุงเทพฯ) ได้ริเริ่มกิจกรรมเพื่อสังคม “Spark the Future” โดยจับมือกับ 5 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ร่วมบ่มเพาะและผลิตคนโฆษณารุ่นใหม่เพื่อพัฒนาธุรกิจความคิดสร้างสรรค์ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ  


ในโอกาสเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์แห่งการเป็นผู้บุกเบิก เจดับบลิวทีได้ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าด้วยพันธกิจและวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตด้วยการสร้างสรรค์ความคิดเชิงบุกเบิก โดยให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการในการมีส่วนร่วมและอยากใช้เวลาอยู่ด้วย “ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ร่วมงาน องค์กรชั้นนำระดับโลก ในช่วงเวลาที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เจดับบลิวที คือ เอเจนซี่โฆษณาที่มีดีเอ็นเอของการเป็นผู้บุกเบิก ในเรื่องของการสร้างแบรนด์ ลูกค้า และผู้บริโภค” กล่าวโดย มร. กุสตาโว มาร์ติเนซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แห่งเจดับบลิวที เวิลด์ไวด์ และกล่าวเสริมอีกว่า “กลยุทธ์ของเราในการเติบโตในปีหน้าและปีถัดๆ ไปนี้ คือ การดึงเอาจุดแข็งขององค์กรออกมาจากจิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้บุกเบิกของเราออกมา”
จากการเป็นผู้บุกเบิกในหลายๆ ด้านในธุรกิจอุตสาหกรรมโฆษณา อาทิ การบุกเบิกโฆษณาทางนิตยสารในการเป็นเอเจนซี่โฆษณาแรกที่ขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ได้มีการส่งคิทแคท (Kit Kat) ออกไปสู่อวกาศ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงการเป็นผู้บุกเบิกในโลกของอุตสาหกรรมโฆษณาที่เจดับบลิวทีได้สร้างสรรค์ความคิดและวิธีการใหม่ๆ ในการสื่อสารที่ชัดเจนและทำให้เกิดการมีส่วนร่วม อีกทั้งยังเป็นที่จดจำได้มากที่สุดในโลกอีกด้วย
ในขณะที่ มร. บ็อบ เฮคเคลแมน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจดับบลิวที ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เจดับบลิวที (กรุงเทพฯ) ได้ดำเนินงานให้สอดคล้องกับเจดับบลิวทีทั่วโลก โดยเป็นเอเจนซี่โฆษณาที่ให้ความสำคัญในการสร้างสรรค์แบรนด์และคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ตลอดจนมีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนากลยุทธ์สื่อสารการตลาดแบบรอบด้าน โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์ผ่านทางสื่อดิจิตัลที่กำลังมีบทบาทอย่างสูงในการตลาดยุคปัจจุบัน และถือเป็นหลักการทำงานที่สำคัญที่ทางเจดับบลิวทีทั่วโลกและประเทศไทยได้คำนึงมาโดยตลอด”


นอกจากนี้ มร. บ็อบ เฮคเคลแมน ยังได้เปิดเผยถึงแนวการทำงานของเจดับบลิวที (กรุงเทพฯ)  ภายใต้นโยบายการบริหารงานของ มร. กุสตาโว มาร์ติเนซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจดับบลิวที เวิลด์ไวด์ และ มร. แมตต์ อีสต์วู้ด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ ที่ต้องการให้บุคคลากรภายในองค์กรทุกฝ่ายตั้งแต่ฝ่ายบริหารงานลูกค้า ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ฝ่ายความคิดสร้างสรรค์และฝ่ายการเงิน ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้านครีเอทีฟทุกชิ้น ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลงานการสร้างสรรค์และยุทธวิธีที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและลูกค้าได้มากที่สุด ขณะเดียวกันได้ให้ผนึกกำลังร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรของดับบลิวพีพี กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารการตลาดประเภทต่างๆ และมีสำนักงานสาขาตั้งอยู่ทั่วโลกและในประเทศไทย ได้ร่วมกันทำงานแบบอินเตอร์คอนเนคชั่น (Interconnection) นำศักยภาพและจุดเด่นของแต่ละฝ่ายมาพัฒนากลยุทธ์ร่วมกันแบบ 360 องศา เพื่อให้ได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบรอบด้าน
“เจดับบลิวที (กรุงเทพ) มีบริษัทพันธมิตรภายใต้เครือดับบลิวพีพีกรุ๊ป และเจดับบลิวที กรุงเทพฯ กรุ๊ป ที่เหนียวแน่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญงานด้านการสื่อสารที่รอบด้าน เช่น เวิรฟ (Verve Public Relations Consultancy) ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ชั้นนำ ดีกรี (Degree) ศูนย์กลางงานดีไซน์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบครบวงจร และ เจ-คอนเนคท์ (J-Connect) ครีเอทีฟดิจิตัลเอเจนซี่ ที่เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารการตลาดบนช่องทางสื่อดิจิตัลและออนไลน์ ดังนั้นด้วยศักยภาพของพันธมิตรที่เรามีอยู่จึงทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ผลงานและพัฒนาแผนการสื่อสารการตลาดที่ครอบคลุมได้อย่างยอดเยี่ยม” มร. บ็อบ เฮคเคลแมน กล่าว



ด้านคุณปรัตถจริยา ชลายนเดชะ กรรมการผู้จัดการ เจดับบลิวที (กรุงเทพ) ในฐานะหัวเรือใหญ่คนใหม่ล่าสุด ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสารการตลาดบนช่องทางดิจิตัลว่า “เจดับบลิวที (กรุงเทพฯ) ตระหนักดีว่าผู้บริโภคในปัจจุบันมีความเครียดจากสภาวะกดดันจากรอบด้านมากขึ้น รวมถึงเวลาที่พวกเขาจะสนใจงานโฆษณา หรือการสื่อสารต่างๆ ก็น้อยลง ด้วยเหตุนี้เราจึงนำ Time, Tension, and Idea (เวลา ความกดดัน และไอเดีย) มาเป็นแนวทางในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ของลูกค้า เพื่อให้ผลิตภัณฑ์และการบริการของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์และช่วยแก้ไขปัญหาสภาวะกดดันของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ขณะเดียวกันก็จะทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจและเข้ามามีส่วนร่วมกับแคมเปญการสื่อสารมากยิ่งขึ้น”  
ในโอกาสเดียวกันนี้ เจดับบลิวที (กรุงเทพฯ) ยังได้ตระหนักถึงอนาคตของธุรกิจโฆษณาในประเทศซึ่งเป็นธุรกิจที่มีทรัพยากรบุคคลเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก จึงได้ริเริ่มโครงการ “Spark The Future” โดยการร่วมมือกับ 5 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในการเข้าไปมีส่วนช่วยทางด้านการศึกษาทั้งการบ่มเพาะและให้คำแนะนำจากประสบการณ์จริงในธุรกิจอุตสาหกรรมโฆษณาแก่ทั้งอาจารย์และนิสิตนักศึกษา เพื่อเป็นการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพให้สาขาอาชีพนักโฆษณา “โครงการนี้ริเริ่มขึ้นเนื่องในโอกาสที่ JWT ครบรอบ 150 ปี โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นอีกหนึ่งผู้ช่วยเหลือและผลักดันให้มีบุคลากรคุณภาพเข้ามาในวงการโฆษณา ดังนั้น จึงขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้ง 5 แห่ง เพื่อแบ่งปันประสบการณ์จริงในการสร้างแบรนด์ และกรณีศึกษาต่างๆและการตัดสินรางวัลบนเวทีโฆษณาทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อเป็นส่วนประกอบของหลักทฤษฎีในหลักสูตร รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาเข้าฝึกงานที่เจดับบลิวที (กรุงเทพฯ) เพื่อเติมเต็มความรู้ และพัฒนานักศึกษาให้เตรียมพร้อมรับมือกับโลกที่แท้จริงในการทำงานในอนาคต และก้าวเข้าสู่แวดวงธุรกิจโฆษณาอย่างเต็มภาคภูมิ โดยโครงการนี้จะดำเนินการต่อไปในทุกๆปี เพื่อให้มั่นใจว่า เจดับบลิวที มีส่วนร่วมในการพัฒนาอนาคตของวงการโฆษณาอย่างแท้จริง” คุณปรัตถจริยา ชลายนเดชะ กล่าว
ทั้งนี้ อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของเจดับบลิวทีในโอกาสครบรอบ 150 ปี คือ การปรับเปลี่ยนโลโก้เป็น นกฮูกและตะเกียง (The Owl and the Lamp) ซึ่งเป็นการรวมสัญลักษณ์แห่งความสติปัญญา ความรอบรู้ แสงสว่าง และวิสัยทัศน์อันชัดเจน โดยเมื่อรวมกันแล้วมีความหมายถึงประสบการณ์และความรู้ที่นำไปสู่ความสำเร็จ
เจดับบลิวที (กรุงเทพฯ) เป็นเอเจนซี่ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการสร้างสรรค์ไอเดียและกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดให้แก่แบรนด์ชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยกว่า 32 ปีแห่งการเติบโตอย่างมั่นคงในประเทศไทย
เจดับบลิวที (กรุงเทพฯ) ยังคงยึดมั่นรักษาวัฒนธรรมและปรัชญาในการทำงานอันเป็นเสมือนมรดกที่สืบทอดมาอย่างยาวนานกว่า
150 ปี นับตั้งแต่ยุคแรกเริ่มในชื่อ เจ. วอลเตอร์ ทอมป์สัน จนกระทั่ง เจดับบลิวที เวิลด์ไวด์ ในปัจจุบัน รวมทั้งยังเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง